|
การดูแลตัวเองหลังคลอด |
|
|
หลังคลอด มดลูกจะหดตัวกลับมามีขนาดเท่ากำปั้นเหมิอนเดิม พร้อมๆ กับเคลื่อนกลับเข้าที่เดิม ซึ่งจะใช้เวลา 12 -15 วัน ในช่วงระหว่างนี้คุณยังต้องไปเข้ารับการตรวจหลังคลอดอยู่อีกระยะหนึ่ง |
|
| |
การตรวจหลังคลอด |
|
|
ลักษณะคล้ายการตรวจภายใน โดยคุณหมอจะเริ่มจากตรวจสภาพภายนอกก่อน เพื่อดูว่าแผลฝีเย็บ ( ในกรณีคลอดเอง ) เป็นอย่างไร และตรวจดูแผลผ่าตัดหน้าท้อง (ในกรณีผ่าตัดคลอด ) ว่าแผลเป็นอย่างไร มีการปริแตกไหม ติดเชื้ออักเสบหรือไม่ ตรวจเบาหวานดูระดับน้ำตาลหลังคลอด จากนั้นจะเป็นการตรวจภายในว่า ... มดลูกเข้าอู่หรือยัง ซึ่งปกติแล้วแล้วจะใช้ระยะเวลา 4-6 สัปดาห์หลังคลอด เช็คมะเร็งปากมดลูก ถุงน้ำที่รังไข่ ปีกมดลูกทั้งสองข้าง | |
ระยะพักฟื้น |
|
|
หลังคลอดคุณแม่จะต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลก่อน 2-3 วัน เพื่อรอดูอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งคุณหมอจะตรวจดังนี้คือ |
|
|
มีอาการไข้ตัวร้อนซึ่งบ่งบอกว่ามีอาการอักเสบเกิดขึ้นที่บริเวณแผลคลอดหรือมดลูก |
|
ยังมีอาการปวดบวมมดลูกอยู่หรือไม่ ซึ่งปกติแล้วอาการดังกล่าวควรจะหายไปภายใน 2 - 3 วัน หลังคลอด |
|
น้ำคาวปลามีสีจางลง และมีปริมาณลดลงหรือไม่ ถ้าพบว่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นหรือสีไม่จางลงเลยอาจเป็นสัญญาณ บอกถึงการอักเสบของโพรงมดลูก หรือมีเศษรก ตกค้าง อยู่ภายใน | | |
|
การให้นมแม่ |
|
|
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์เรา น้ำนมแม่นับเป็นอาหารที่วิเศษที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับลูกรัก แม้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้าเพียงใด ก็ไม่สามารถผลิตนมผสมใดๆ ที่มีคุณค่าทัดเทียมนมแม่ได้ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น ให้ทั้งความอบอุ่น ความผูกพันระหว่างแม่และลูกขณะให้นมที่ใกล้ชิดแบบเนื้อแนบเนื้อ และมีประโยชน์ต่อลูกน้อยตั้งแต่วัยแรกเกิดจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นมแม่มีความสำคัญที่สุดในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ควรให้ลูกกินแต่นมแม่แต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องกินน้ำหรืออาหารอื่นเลยเป็นเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เสริมอาหารอื่นตามความเหมาะสม ส่วนนมแม่ควรให้กินต่อจนถึงอายุ 2 ขวบ นมน้ำเหลืองที่มีสีเหลืองขุ่นๆ ที่ออกมาในช่วงแรกนั้น อุดมด้วยโปรตีนในปริมาณสูงและ ประกอบไปด้วยภูมิคุ้มกันโรคหลายชนิด ส่งผลให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันดี สุขภาพแข็งแรงตั้งแต่แบเบาะและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจในอนาคต อีกทั้งลดอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้ กระตุ้นพัฒนาการของทารก ฯลฯ ปัญหาการให้นมลูกนั้นเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกๆ หลังคลอดเท่านั้น ถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ก็จะสามารถให้นมแม่ต่อไปได้โดยราบรื่น อย่าให้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นอุปสรรคจนละความพยายามการให้นมแม่ต่อไป จนเปลี่ยนไปให้นมขวดแทน ในขณะเดียวกันการเพียรให้นมแม่ต่อไปส่งผลดีทั้งต่อคุณแม่และลูกน้อย ท้ายที่สุดความยากลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพียงไม่นานก็ผ่านพ้นไป | |
|
ปัญหาการให้นมแม่และวิธีแก้ไข |
|
|
หัวนมบุ๋มหรือหัวนมบอด เกิดจากหัวนมมีพังผืดยึดไว้ ควรแก้ไขตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ด้วยการดึงหัวนมบ่อยๆเพื่อให้พังผืดที่ดึงรั้งหัวนมยืดออกหรือฉีกขาด โดยวิธีใช้นิ้วมือกดที่ลานหัวนมแล้วรีดให้หัวนมยื่นออกมาร่วมกับการดึงหัวนมขึ้นมาบ่อยๆ อาจใช้อุปกรณ์ดึงหัวนม (nipple puller) ช่วย เจ็บหัวนม หัวนมแตก ปัญหานี้มักเกิดจาการให้ลูกดูดนมไม่ถูกต้องในวันแรกๆ หลังคลอด คือให้ลูกดูดบริเวณยอดหัวนมไม่ลึกถึงลานหัวนม หรือเกิดจากการล้างเต้านมบ่อยๆ ด้วยสบู่ จนหัวนมแห้งและแตก เพื่อป้องกันการเจ็บหัวนม ควรอุ้มลูกในท่าที่ถนัด ให้ลูกดูดลึกถึงลานหัวนม และถอนหัวนมออกอย่างนุ่มนวล ควรทำความสะอาดเต้านมด้วยการล้างตามปกติ คือเฉพาะเวลาอาบน้ำเท่านั้น ระวังลานหัวนมไม่ให้อับชื้น โดยรักษาหัวนมให้แห้งระหว่างมื้อให้นมด้วยการซับแห้งด้วยผ้าสะอาดทุกครั้งหลังให้นมลูก หากหัวนมแห้งแตก อาจใช้น้ำนมทาให้ทั่ว รอให้แห้งก่อนจึงสวมเสื้อ น้ำนมแม่มีคุณสมบัติเป็น moisturizer ชั้นดีช่วยรักษาความชุ่มชื้นของหัวนมไว้ สามารถป้องกันหัวนมแห้งแตกได้ ควรทำความสะอาดเต้านมด้วยสำลีชุบน้ำสะอาดก่อนให้ลูกดูดนมครั้งต่อไป ไม่ใช้สบู่ สารเคมี หรือแอลกอฮอล์ เพื่อล้างเช็ดทำความสะอาดเต้านมก่อนและหลังให้นมลูก เต้านมคัดตึงบวม เมื่อเต้านมจุน้ำนมจนเต็มแล้วไม่ถูกระบายออก ส่งผลให้มีแรงดันสูงภายในเต้านมไปขัดขวางการไหลของน้ำนม เป็นเหตุให้เต้านมร้อน ผิวแดงเป็นมัน แข็งตึงและปวด ลานหัวนมตึงแข็ง หัวนมตึงสั้นลง มีส่วนทำให้ลูกดูดนมยากขึ้น เพราะน้ำนมไหลออกยาก ทำให้ลูกได้รับน้ำนมไม่เพียงพอ และเต้านมยังคงคัดตึงอยู่อย่างนั้น ควรแก้ไขด้วยการประคบเต้านมด้วยน้ำอุ่นประมาณ 10 นาที นวดคลึงหัวนมเพื่อช่วยให้น้ำนมออกมากขึ้น การบีบน้ำนมบางส่วนออกจนลานหัวนมนุ่มลงก่อนให้ลูกดูดนม จะช่วยให้ดูดได้ง่ายขึ้น เราสามารถป้องกันเต้านมคัดตึงด้วยการให้ลูกดูดนมเมื่อเต้านมเต่งตึง (full breast) ไม่รอจนเต้านมคัดตึง (breast engorgement) และให้ลูกดูดนมบ่อยๆ | |
|
ท่อน้ำนมอุดตัน เต้านมอักเสบ ฝีที่เต้านม |
|
|
ทั้ง 3 อย่างมีอาการใกล้เคียงกัน เกิดจากการมีน้ำนมที่ข้นขึ้นจนอุดตันท่อน้ำนมท่อใดท่อหนึ่ง ทำให้น้ำนมคั่งอยู่ในต่อมเต้านมต่อมนั้น อาจมีอาการเริ่มแรกด้วยเป็นก้อนที่เต้านมกดเจ็บ ผิวหนังเหนือก้อนบวมแดง แข็ง หากก้อนเกิดจากน้ำนมที่ค้างอยู่ในท่อน้ำนมโดยยังไม่เกิดการอักเสบ ให้แก้ไขโดยให้ลูกดูดออกให้หมดในเวลานานพอและในความถี่พอ เพื่อให้ท่อน้ำนมหายอุดตันเต้านมก็จะหายคัดตึง การนั่งในท่าให้นมที่เหมาะสม ช่วยให้ลูกดูดนมได้หมดเต้า การนวดเต้านมเบาๆ ประคบด้วยความอุ่น อาบน้ำอุ่นล้วนช่วยให้อาการดีขึ้น ไม่ใช้เสื้อยกทรงที่คับเกินไปเพราะอาจเป็นสาเหตุของท่อน้ำนมอุดตันได้ หากอาการยังไม่ดีขึ้น อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียทำให้เต้านมอักเสบและฝีที่เต้านมตามมาได้ ความสำคัญจึงอยู่ที่การป้องกันตั้งแต่เริ่มมีอาการเต้านมคัดตึง ซึ่งหากแก้ไขไม่หายภายใน 1 วัน และมีอาการไข้ขึ้น หมายความว่าอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์ เต้านมอักเสบมีส่วนทำให้น้ำนมติดเชื้อด้วยได้ จนไม่สามารถให้นมลูกด้วยเต้านมข้างนั้น ซึ่งแพทย์จะให้ยาต้านจุลชีพ หากยังไม่ดีขึ้นจนเกิดเป็นฝี อาจต้องผ่าตัดเพื่อระบายหนองออก | |
|
น้ำนมน้อย |
|
|
แม่บางคนอาจกังวลว่าน้ำนมไม่พอเลี้ยงลูก อันที่จริงน้ำนมแม่นั้นเพียงพอสำหรับลูกน้อยอย่างแน่นอน มีแม่เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ต่อมเต้านมมีจำนวนน้อยกว่าปกติจนผลิตน้ำนมไม่พอเลี้ยงลูก โดยปกติต้องใช้เวลา 2-3 วัน น้ำนมจึงออกมากขึ้น ระยะนี้เป็นระยะที่ลูกอยู่ในระหว่างการปรับตัว ยังไม่ต้องการอาหารมากนัก อย่ากังวลว่าลูกจะขาดอาหาร ควรให้ลูกกระตุ้นโดยการดูดอย่างสม่ำเสมอทุก 2 ชั่วโมง การที่แม่มีน้ำนมน้อย ส่วนใหญ่เกิดจากให้ลูกดูดนมไม่ถี่พอ นอกจากนี้ยังเกิดจากการติดเชื้อที่หัวนมและเต้านมได้ด้วย อีกทั้งความวิตกกังวลว่าตัวเองจะทำหน้าที่แม่ได้ไม่ดีพอ ความเครียดและเหนื่อยจากการรับมือกับทั้งงานบ้านและงานนอกบ้านในเวลาเดียวกัน | |
|
คุณแม่ควรทำใจให้สงบลดความวิตกกังวลลง พึงเลี้ยงลูกตามธรรมชาติด้วยความผ่อนคลาย มีความสุขที่เห็นลูกมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วและโตวันโตคืน |
|
การเก็บรักษาน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง |
|
|
วิธีเก็บน้ำนมแม่ที่ง่ายที่สุดและสะดวกมั่นใจที่สุดคือการเก็บไว้ในตู้เย็น สำหรับช่องธรรมดาที่ไม่มีของอื่นปน จะเก็บได้ประมาณ 5 วัน ถ้าเก็บในช่องธรรมดาแต่มีของอื่นปนด้วยจะเก็บได้ 2 3 วัน เก็บไว้ในช่องแช่แข็งได้นานประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ถ้าบ้านไหนมีตู้เย็นแบบประตูช่องแช่แข็งแยกจากประตูใหญ่ การเก็บไว้ในช่องแช่แข็งโดยไม่ปนกับอาหารอื่นจะเก็บได้นานถึง3 เดือน ถ้ามีอาหารอื่นปน ระยะเวลาในการเก็บก็จะสั้นลง คือประมาณ 1 2 เดือน กรณีที่ไม่มีตู้เย็น คุณแม่สามารถเก็บน้ำนมไว้ในกระติกน้ำแข็งแทนได้ แต่ไม่แนะนำให้เก็บโดยไม่แช่เย็นเลย เพราะอากาศแบบบ้านเราหากวางทิ้งไว้นาน ภูมิคุ้มกันในนมจะลดลงอย่างรวดเร็วจนสูญสลายไปในที่สุด ทางที่ดีควรเก็บไว้ในตู้เย็นจะดีกว่าค่ะ การเก็บน้ำนมจะใส่ในภาชนะสำหรับใส่อาหารแบบไหนก็ได้ หรือจะใช้ถุงเก็บน้ำนมแม่ก็ได้ โดยเขียนวันเวลาที่ได้ปั๊มนมไว้บนภาชนะด้วย และควรแบ่งปริมาณน้ำนมให้พอดีกับมื้อหนึ่งที่ลูกกิน ถ้าคุณแม่ไม่แน่ใจว่านมที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีนั้นเสีย หรือบูดหรือไม่ แนะนำให้คุณแม่ชิมจะดีที่สุดค่ะ ถ้ามีรสชาติเปรี้ยวๆนั่นแหละค่ะบูดแล้วทิ้งได้เลย ไม่ต้องเสียดายค่ะ | |
|
อาหารบำรุงน้ำนมสำหรับคุณแม่หลังคลอด |

|
|